5 กูรู มองปรากฏการณ์ 'ตลาดหุ้น'

5 เซียนหุ้นรายใหญ่ มองวิกฤติตลาดหุ้นเป็น 'โอกาส' เข้า 'สะสมหุ้น' แนะถือระยะกลาง-ยาว 'คุ้ม' SET Index ระยะสั้นยัง 'เสี่ยง' หลุด 1,000 จุด ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงต้นสัปดาห์ ปรับตัวลดลง 5 วันติดต่อกัน ภายหลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดอันดับตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐลงมา 1 ขั้น จาก AAA มาอยู่ที่ AA+ โดยมีแนวโน้มเป็น "เชิงลบ"
ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกเลือกขายสินทรัพย์เสี่ยงทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อถือเงินสดเพิ่มขึ้น รวมทั้งเข้าพักเงินในตลาดทองคำที่เป็นตัวเลือกในการลงทุนที่ดูจะปลอดภัยที่สุดในช่วงนี้ หากวัดจากจุดสูงสุดของ SET Index รอบนี้ที่ระดับ 1,148 จุด และจุดต่ำสุด 1,033 จุด ตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานแรงถึง 115 จุด หรือ 10% ภายในระยะเวลาเพียง 7 วันทำการ


แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25% พร้อมให้คำมั่นว่าจะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึง "กลางปี 2556" และเฟดส่งสัญญาณด้วยว่าอาจจะมีการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE3) เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ทว่าตลาดหุ้นก็ตอบรับด้วยความระแวดระวัง เพราะนี่คือ "ยาหม้อเก่า" ที่มีไว้สำหรับ "เลี้ยงไข้" เศรษฐกิจสหรัฐให้เรื้องรังต่อไปเท่านั้น

เอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ไทยอินไซเดอร์" แนะนำให้นักลงทุนระยะสั้น ช่วงนี้ "หยุดเทรดหุ้นชั่วคราว" เพราะภายใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ยังมองไม่เห็นข่าวดีที่จะทำให้ตลาดหุ้นดีดตัวกลับมาเป็นบวกอย่างรุนแรง

"เราไม่รู้ว่าสหรัฐอเมริกาจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้หรือไม่ และก็ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า นโยบายอุดรอยรั่วต่างๆ ของสหรัฐจะใช้ได้ผล ขณะที่วิกฤติหนี้ในยุโรปก็ยังไม่มีความชัดเจน หากนักลงทุนไม่เชื่อในนโยบายของสหรัฐไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างถาวร ตลาดหุ้นนิวยอร์กอาจลดต่ำกว่า 10,000 จุด ซึ่งเราทุกคนก็อาจได้เห็นตลาดหุ้นไทยหลุด 1,000 จุด เหมือนกัน" เอกยุทธ ประเมิน

ในทางตรงกันข้ามถ้าสหรัฐสามารถเรียกศรัทธานักลงทุนกลับคืนมาได้ ตลาดหุ้นไทยก็คงยืนเหนือ 1,000 จุด ได้ คำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้สูงก็รอให้หุ้นตก 40 จุด แล้วค่อยเข้าไปเก็บ ถ้าขายตอนเย็นไม่ทัน ก็ไปขายวันรุ่งขึ้น ถือไว้นานๆ ช่วงนี้ "ยังไม่ปลอดภัย"

เอกยุทธ กล่าวต่อว่า คำแนะนำสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ช่วงนี้ถือเป็น "โอกาสทอง" ในการ "สะสมหุ้น" โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอาหาร คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ยังน่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา ให้เก็บหุ้นกลุ่มนี้เข้าพอร์ตประมาณ 20-30% ในช่วงที่ดัชนียืนระดับ 1,000-1,020 จุด

วิธีการจัดพอร์ตลงทุนในช่วงนี้ เอกยุทธ เน้นว่า ใครมี "เงินเย็น" เชียร์ให้เก็บหุ้นดีๆ 30% ทองคำ 20% เพราะราคาทองมีโอกาสวิ่งไปแตะระดับ 2,000-2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนที่เหลือ 50% ให้เก็บไว้เป็น "เงินสด" รอช้อนของถูกตอนหุ้นตกหนักๆ โดยเฉพาะ "หุ้นปตท." และหุ้น "กลุ่มธนาคาร" ซื้อแล้วถือไปเลย 6 เดือน ถึง 1 ปี รับรอง "คุ้ม" ได้ทั้งผลตอบแทนจากราคาหุ้น และเงินปันผล

“นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร และอสังหาริมทรัพย์บางตัว เพราะโอกาสที่จะมีข่าวไม่ดีมากระทบกระเทือนมีสูงมาก”

เซียนหุ้นรายใหญ่ แนะให้จับตาแผนแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ หากมีความชัดเจนภายในเดือนกันยายน ถึงตุลาคม 2554 มีโอกาสที่จะได้เห็น SET Index ที่ระดับ 1,200 จุด แต่ถ้ามีเซอร์ไพร์สเรื่องไม่ดีออกมาอีกก็ไปเจอกันที่ 850-900 จุด

“หากทุกอย่างราบรื่น แนะนำให้นักลงทุนสะสมหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 50-60% แล้วให้ทยอยขายทองคำ เพื่อไปซื้อพันธบัตร 20-30%” เอกยุทธ มองข้ามช็อต

“เสี่ยปู่” สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ตลงทุนระดับพันล้านบาท ฟันธงว่า "จังหวะเก็บของถูกมาถึงแล้ว" ช่วงที่หุ้นปรับฐานนักลงทุนต้องรีบหาโอกาส "ซื้อหุ้น" ก่อนที่นักลงทุนสถาบันจะเข้ามาซื้อจนทำให้ตลาดหุ้น "รีบาวด์" กลับขึ้นมา

เสี่ยปู่ เชียร์ให้ซื้อหุ้นที่มีค่า P/E Ratio ต่ำๆ เช่น หุ้นบ้านปู (BANPU) ตัวนี้น่าสนใจมาก ที่สำคัญปีหน้าบริษัทจะทำสัญญาซื้อขายถ่านหินเหมืองที่ประเทศออสเตรเลียใหม่ ราคาขายจะสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน ดังนั้นแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน

นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้น ไทยคม (THCOM) เพราะธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" หุ้นแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) มีแบ็กล็อกที่ยังไม่รับรู้รายได้อีกเยอะ หุ้นเหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) ได้รับผลดีจากผู้ประกอบการญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิต และหุ้นจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ราคาลงมาเยอะ โอกาสหุ้นรีบาวด์มีสูง

เซียนหุ้นพันล้าน แนะนำอีกว่า ช่วงที่หุ้นปรับฐานให้ทยอยสะสมหุ้นดีๆแล้ว "ถือยาวๆ" ประมาณ 70-80% ของพอร์ต ที่เหลือให้เก็บเป็น "เงินสดสำรอง" รอซื้อหุ้นถูก

"ผมมั่นใจว่ารอบนี้ถ้าเลือกซื้อหุ้นดี โอกาสจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 10-20% ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้ามีสูงมาก ต่อให้ระหว่างทางตลาดหุ้นไทยจะตกหนักก็ตาม เพราะสุดท้ายกำไรบริษัทจดทะเบียนบ้านเราก็ดีกว่าประเทศอื่น ยังไงฝรั่งก็ต้องขนเงินกลับมาซื้อหุ้นไทยอยู่ดี"

เสี่ยปู่ เชื่อว่า ปัญหาหนี้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา "แก้ไขยาก" เชื่อว่ายังไง 2-3 เดือนนี้ก็ไม่จบ ไม่แน่สหรัฐอาจออกมาตรการ QE3 ออกมาซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น

"ตอนนี้ผมมีหุ้นในมือประมาณ 30 ตัว บางตัวก็ขาดทุน แต่ส่วนใหญ่กำไรมากกว่า 10% ผมหลีกเลี่ยงหุ้นปั่นทุกตัว ส่วนหุ้นที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลชุดใหม่ หากเขามีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความสามารถในการทำกำไรก็จะลงทุน...หลายคนชอบถามผมว่า SET สิ้นปีจะเป็นอย่างไร ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า 1,200 จุด สิ้นปีนี้อาจไม่ได้เห็น" เซียนหุ้นพันล้าน กล่าว

ด้านประธานเว็บไซต์ "ไทยวีไอ ดอทคอม" สุทัศน์ ขันเจริญสุข เซียนหุ้น VI รายใหญ่ มองปรากฏการณ์หุ้นตกรอบนี้ว่า ปัญหาสหรัฐและยุโรปคงเรื้อรังไปอีกนาน ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกแม้สัดส่วนไม่สูงมากก็ต้องได้รับผลกระทบด้วย ใครที่ขายหุ้นทันก็สบายไป ส่วนใครที่ขายไม่ทัน แนะนำให้ "ซื้อหุ้นดีๆ เพิ่ม" เพราะช่วงนี้มีหุ้นดีราคาไม่แพงจำนวนมาก

สุทัศน์ ให้ข้อคิดว่า การซื้อหุ้นช่วงนี้ควรใช้ "เงินเย็น" มีมากซื้อมาก มีน้อยซื้อน้อย อย่าได้ "ซื้อเกินตัว" แต่หากใครเคยขายไป 100 บาท และต้องการซื้อกลับในระดับเดิมก็ทำได้ หากมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นดีจริง ส่วนตัวมองว่า SET Index สิ้นปี 2554 อาจไม่ถึง 1,200 จุด เพราะปัญหาต่างประเทศคงยืดเยื้ออีกสักพัก (ใหญ่)

"หากรัฐบาลเขายังให้กินแต่ยาแก้ปวด โดยไม่ให้กินยาแก้อักเสบ เมื่อวันหนึ่งผ่านไปก็ต้องกลับมากินยาแก้อักเสบอีกอยู่ดี แต่หากทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โอกาสที่จะได้เห็น 1,200 จุด มีแน่นอน ฉะนั้นวันนี้ขอให้นักลงทุนทำใจเย็นๆ หันมาจับจองหุ้นดีๆ กันดีกว่า เพราะมีหลายตัวที่พื้นฐานดี เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มอาหาร พวกนี้พื้นฐานยังดีอยู่" ประธานเว็บไซต์ "ไทยวีไอ ดอทคอม" กล่าว

พีรเจต สุวรรณนภาศรี นักลงทุนแวลูอินเวสเตอร์ และผู้บริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) แนะว่า หากนักลงทุนรายใด “เงินเย็น ใจถึง และอดทน” (ถือนนานได้) ให้รีบสะสมหุ้นดีๆ เข้าพอร์ต แต่ต้องเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เพราะอาจมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับนักลงทุนที่ยังกล้าๆกลัวๆ ก็รอให้สัญญาณชัดเจนมากขึ้นก่อนแล้วค่อยซื้อ ช่วงนี้ให้ซื้อหุ้น 30% ที่เหลือเก็บเป็น "เงินสด" รอนโยบายต่างๆ (สัญญาณ) จากรัฐบาล หากเริ่มมีความชัดเจนก็ให้ไปซื้อหุ้นตัวที่จะได้รับผลประโยชน์จากมาตรการที่ออกมา

"ช่วงนี้ผมเชียร์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะหุ้น ช.การช่าง (CK) ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน หุ้น เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ (AP) ก็น่าสนใจ มียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้เยอะมาก คิดดูตลาดหุ้นรอบนี้ลงหุ้น AP ยังเหนียวแน่น"

พีรเจต มองค่อนข้างบวกว่า SET Index ปีนี้ จะขึ้นไป 1,200 จุด ไม่ใช่เรื่องยาก โดยให้น้ำหนักที่นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่มากกว่าปัจจัยในต่างประเทศ ส่วนตัวมองว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน ตราบใดที่รัฐบาลมีเป้าหมายจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต

"แม้หุ้นไทยจะมีความเกี่ยวพันกับตลาดสหรัฐ แต่ก็เริ่มมีทิศทางความสัมพันธ์ห่างกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นสหรัฐขึ้น 5 จุด แต่เราขึ้น 8 จุด เขาลง 10 จุด เราลงแค่ 6 จุด ผมเชื่อว่าสหรัฐจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้ในเร็ววัน แม้จะออก QE3 ก็ตาม สหรัฐเป็นเหมือนซอมบี้ คนไข้สมองตายที่ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะปัญหารอบนี้เกิดจากรัฐบาลไม่เหมือนรอบก่อน (ซับไพร์ม) ที่เกิดจากภาคเอกชน" ผู้บริหาร ยูเนี่ยน อินทราโก้ กล่าว

สำหรับความเห็นของ สง่า ตั้งจันสิริ เจ้าของพอร์ตลงทุนหลักร้อยล้านบาท เป็นคนเดียวที่แนะนำให้นักลงทุน "ลดพอร์ต-ถือเงินสด" หรือนำไป "ซื้อทองคำ" เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในช่วงนี้ เพราะ SET มีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก หากสหรัฐยังหาทางออกแบบถาวรไม่ได้

"ผมเชื่อว่าปัญหาสหรัฐและยุโรปจะเรื้อรังไปอีกหลายเดือน พิสูจน์แล้วว่านโยบายต่างๆมันแก้ไขปัญหาไม่ได้ เมื่อดัชนีลงไปต่ำกว่า 1,000 จุด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในเร็วๆ นี้ ให้นักลงทุนซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร และพลังงาน โดยเฉพาะหุ้น BANPU, KTB และ PTT แนะนำให้เก็บเข้าพอร์ตแค่ 10-20% ที่เหลือเก็บไว้เป็นเงินสดหรือนำไปลงทุนทองคำ"

ภายใน 2 ปีข้างหน้า ราคาทองคำมีโอกาสทะยานไปยืนระดับ 30,000 บาทต่อ 1 บาททอง เพราะทองคำทั่วโลกกำลังขาดตลาด ฉะนั้นใครมีเงินเย็นรีบซื้อสะสมไว้ รับรอง “คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม” สง่า แนะนำ

ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น: