วิชัย ทองแตง นักธุรกิจแห่งปี 54 ติดปีกธุรกิจเฮลท์แคร์ สู้ศึก AEC

วิชัย ทองแตง นักธุรกิจแห่งปี 54 ติดปีกธุรกิจเฮลท์แคร์ สู้ศึก AEC
อดีตทนายความของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้พลิกบทบาทมาสู่นักบริหารลงทุนอย่างเต็มตัว ที่สำคัญเขายังกลายเป็นผู้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการธุรกิจโรงพยาบาลไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ผลงานที่โดดเด่นและทำให้สปอรต์ไลท์จากทำเนียบนักธุรกิจไทยพุ่งไปที่เขาอีกครั้ง เมื่อเขาคนนี้ “วิชัย ทองแตง”ประกาศควบรวมกิจการ โดยวิธีการสวอปหุ้น กับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริหารเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ และถือหุ้นใหญ่โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช โดยวิชัยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ในบริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) (เฮลท์ เน็ตเวิร์ค) และถือหุ้นใหญ่บริษัทประสิทธิ์พัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลเปาโล เมมโมเรียล อันเป็นบิ๊กมูฟของวงการโรงพยาบาลและธุรกิจเฮลแคร์เมืองไทยในรอบปีที่ผ่านมา

ผลการรวมกิจการของ 2 กลุ่มครั้งนี้ ไม่เพียงก่อให้เกิดการรวมตัวในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลไทยถึง4 แห่ง คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล และโรงพยาบาลสมิติเวช โดยขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ2 ของเอเชียรองจาก โรงพยาบาล ในออสเตรเลีย ยังเป็นการเพิ่มอำนาจต่อ รองจากเครือข่ายธุรกิจโรงพยาบาลที่มีจำนวนทั้งสิ้นถึง 27 แห่ง กว่า 4,600 เตียง ตอกย้ำความแข็งแกร่งและกระชับแน่นมากขึ้น ทำให้โอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตไม่ไกลเกินเอื้อม


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับกระแสการเปิดเสรีอาเซียนในอีก 4ปีข้างหน้า ที่ส่งแรงกระเพื่อมให้เม็ดเงินทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้อยาก คือ การเข้าซื้อกิจการ หรือการเทคโอเวอร์จากทุนข้ามชาติในธุรกิจไทยที่อ่อนแอ รวมถึงธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลแคร์ที่อยู่ไม่รู้ทิศทางว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและอยู่รอดได้อย่างไร หากคลื่นทุนดังกล่าวมาถึง

วิชัย บอกว่า หากไม่เตรียมความพร้อม และไม่ทำให้ธุรกิจ
เข้มแข็งเสียแต่บัดนี้ โอกาสที่ถูกกลืนโดยทุนข้ามชาติที่มีความได้เปรียบหลายด้านเป็นไปได้โดยง่าย ดังนั้นเขาจึงคิดแนวทางบริหารธุรกิจโรงพยาบาล หรือธุรกิจเฮลแคร์จำเป็นต้องเอาจุดแข็งของบริษัทที่มีอยู่มา Consolidate กัน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมั่นคงและยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจในกลุ่มอย่างรวดเร็ว ดังนั้นดีลการรวมกับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพฯจึงเกิดขึ้นและเป็นการตอบโจทย์โมเดลConsolidateที่เขาเลือกใช้ในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม การรวมกิจการให้เป็นเนื้อเดียวกัน ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลาสั้นๆ ดังนั้นเขาจึงกำหนดให้ระยะแรก หลังจากดีลควบรวมกิจการเสร็จสิ้นลงไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นIntegrate หรือบูรณาการโรงพยาบาลทั้งสองกลุ่มของบุคลากร โดยจูนแนวคิดของผู้บริหารทุกระดับไปสู่แนวทางใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้า อันเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลและเฮลแคร์เข้มแข็ง สามารถต่อสู้บนเวลาโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี เนื่องจากสามารถทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าได้ทุกระดับ ทุกกลุ่มเป้าหมาย และมีความได้เปรียบในแง่โลเกชั่นของสาขาได้อย่างครอบคลุมอีกด้วย

แนวทางการดำเนินงานของ วิชัย ครั้งนี้ ยังเป็นการเติมเต็มให้เมืองไทยมีธุรกิจโรงพยาบาลที่ให้บริการอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการเป็น เมดิคัล ฮับ ในภูมิภาคเอเชียในอนาคตอีกด้วย เพราะทุกก้าวย่างของวิชัย ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนรองรับกับความต้องการของลูกค้าในประเทศเท่านั้น แต่ยังสามารถรองรับลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะ ลูกค้าจากตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูง

นอกจากทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งแล้ว บิ๊กดีลครั้งนี้ยังส่งผลให้วิชัย กลายเป็น"มหาเศรษฐี" เมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในการประกาศผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย ปี 2554 ที่จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยครั้งนี้มีชื่อของเขาติดโผในอันดับ 4 ที่ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 11,804.14 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกรุงเทพดุสิตเวชการ (บีจีเอช) หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ 12.17% มูลค่า 11,532.14 ล้านบาท และหุ้นปุ๋ยเอ็นเอฟซี 8.04% มูลค่า 272 ล้านบาทไปโดยปริยาย เป็นรองเพียงแค่ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" แห่งพฤกษาฯ ที่ครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 (18,520.34 ล้านบาท) "อนันต์ อัศวโภคิน" คีย์แมน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อดีตแชมป์ 7 ปีซ้อน (15,490.82 ล้านบาท)
ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

ไม่มีความคิดเห็น: