นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจะทำการเปิดขาย กองทุนเปิดเค
ทั้งนี้ กองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้นตราสารหนี้ไทย 3 เดือน เอ (KPPTF3MA)มีขนาดกองทุน 10,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และเงินฝากธนาคารพาณิชย์
ด้านกองทุนเปิดเค เค คุ้มครองเงินต้นต่างประเทศ 11 เดือน เอ (KPPFF3MA) มีขนาดกองทุน 5,000 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ พร้อมนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งจำนวน
"เชื่อว่ากองทุนคุ้มครองเงินต้นจะเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลดผลกระทบจากการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากหลังจากมีการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝาก เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยปรับลดการคุ้มครองเต็มจำนวนเหลือเพียง 50 ล้านบาทต่อบัญชี และจะปรับลดวงเงินคุ้มครองเหลือเพียง 1 ล้านบาทต่อบัญชี นอกจากนี้ยังสามารถรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ยังคงต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ"นายพัชรกล่าว
นายพัชรกล่าวอีกว่า กองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น มีจุดเด่นที่เหนือกว่ากองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการอื่นๆ ของบริษัทคือ มีความเสี่ยงต่ำกว่า เนื่องจากกองทุนมุ่งคุ้มครองเงินต้นภายใต้นโยบายการลงทุนที่ กลต. กำหนดให้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของไทย ตราสารหนี้ภาครัฐในต่างประเทศซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ใน 2 อันดับแรก ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ โดยจะไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเลย ฉะนั้น ด้วยคุณภาพของตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีและมีความน่าเชื่อถือสูงที่กล่าวไป จะช่วยให้ ผู้ลงทุนคลายกังวลในเรื่องความเสี่ยงที่เงินต้นจะสูญหายได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ของนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน บริษัทยังเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน เอซี (KFI6MAC) เป็นทางเลือกเพิ่มเติมพร้อมกันกับทั้ง 2 กองทุนข้างต้นในวันที่ 16-22 สิงหาคม นี้
โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ตราสารหนี้ระยะสั้น ICBC สาขาซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เงินฝาก Bank of China สาขาฮ่องกง และเงินฝาก Agricultural Bank of China สาขาฮ่องกงและกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายที่ 3.40% ต่อปี
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น