วิธีทำเรื่องการลงทุนให้เป็นเรื่องที่ง่ายๆ

วิธีทำเรื่องการลงทุนให้เป็นเรื่องที่ง่ายๆ
ในหนังสือ Straight Talk on Investing ซึ่งเขียนโดยแจ็ค เบรนแนน ประธานบริษัทแวนการ์ดบริษัทจัดการลงทุนชั้นแนวหน้าของอเมริกาเริ่มต้นโดยการพูดถึงความเชื่อผิดๆของคนทั่วไปว่าการลงทุนนั้นเป็นเรื่องยาก หลายคนคิดว่าต้องมีเงินมากเสียก่อนจึงจะเอาเงินมาต่อเงินได้ บางคนคิดว่าต้องมีความรู้มากๆอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจเข้าใจแจ่มแจ้ง ติดตามข่าวคราวในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง รู้ว่าธนาคารกลางหรือเฟดจะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างไรรู้ว่าบริษัทจดทะเบียนทำกำไรเท่าใด จะจ่ายปันผลมากแค่ไหน จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านั้นมีความหมาย แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องติดตามจนใกล้ชิดจนเกินไป เพื่อจะได้มีการลงทุนที่ดี คำพูดสำคัญของแจ็คคือ “การลงทุนเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด”

แจ็คได้ตีกรอบการบ้านที่นักลงทุนที่ดีจะต้องทำเพื่อให้เป็นนักลงทุนที่ดี โดยการ1. รู้จักการลงทุนหลักสามประเภท 2. เข้าใจเรื่องความเสี่ยง และ 3. รู้จักตัวเองในฐานะของนักลงทุนคนหนึ่ง



**การลงทุนหลักสามประเภท คือ หุ้น (stock) ตราสารหนี้ (bond) และเงินสด (cash) หุ้นเป็นการลงทุนแล้วเป็นเจ้าของธุรกิจ มีส่วนในเงินปันผล ตราสารหนี้ลงทุนแล้วเป็นเจ้าหนี้รับดอกเบี้ยของเงินลงทุนเป็นหลักพันธบัตรใช้เรียกตราสารหนี้ภาครัฐ หุ้นกู้เป็นตราสารหนี้เอกชน ส่วนเงินสด หมายถึงเงินฝากธนาคารตลอดจนกองทุนตลาดเงินต่างๆ**

ข่าวดีก็คือ นักลงทุนไม่ต้องลงมือศึกษาถึงหุ้นทีละตัว พันธบัตรหรือหุ้นกู้ทีละฉบับเพราะมีกองทุนรวมมากมายที่มีหน้าที่เลือกลงทุนในรายละเอียดเหล่านั้นแทนผู้ลงทุนอยู่แล้ว หน้าที่ของนักลงทุนจึงเพียงแค่การตัดสินใจเลือกสัดส่วนการลงทุนตามประเภทกองทุนเหล่านั้นก็เพียงพอแล้ว ซึ่งผมเคยเขียนไว้ในบทความก่อนๆ ว่า Asset Allocation โดยที่ในตอนก่อนๆนั้นผมได้ให้ข้อมูลตลาดทุนไทยซึ่งมีข้อมูลที่ไม่ยาวนานนัก ในวันนี้จึง เอาข้อมูลของอเมริกาซึ่งยาวนานกว่ามาให้ดูประกอบครับ

แม้ข้อมูลจะเป็นของอเมริกา แต่จากการศึกษาของผม พบว่าข้อมูลเท่าที่มีของไทยก็มิได้ต่างไปจากกันมากมายนัก ดังนั้นจึงใช้เป็นกรอบประกอบการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี โดยนักลงทุนสามารถเลือกเป้าหมายจากเสี่ยงน้อยไปจนถึงมาก ว่าต้องการความเสถียรมั่นคงของเงินต้น (stability) ต้องการกระแสเงินรายได้ออกมาใช้เรื่อยๆ (Income) ต้องการเติบโตแบบระมัดระวัง สมดุล ปานกลาง หรือแบบเชิงรุก โดยนักลงทุนควรดูอัตราผลตอบแทนในอดีตควบคู่ไปกับความเสี่ยงซึ่งแสดงไว้สองมิติด้วยกัน คือ ปีที่ขาดทุนสูงสุด และจำนวนปีที่ขาดทุน

ผลตอบแทนที่แจ็คแสดงนำมาจากดัชนี ซึ่งหากจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกันที่สุดคงต้องลงทุนใน กองทุนดัชนีหรืออีทีเอฟนะครับ สำหรับการลงทุนในหุ้นที่ต้องการให้ได้ผลตอบแทนเหมือนๆกับดัชนี SET50 ของไทย ก็สามารถใช้ TDEX (ThaiDEX SET50 ETF) ได้ ส่วนตราสารหนี้ก็อาจใช้กองทุนตราสารหนี้ต่างๆ ได้ ส่วน cash นั้นนอกจากการฝากเงินก็สามารถใช้พวกกองทุนตลาดเงิน เป็นต้น

ด้วยความสำคัญของการทำ Asset Allocation ที่เปรียบเสมือนกับหัวใจของกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน ทำให้ ETF ได้รับความนิยมจากนักลงทุนไปทั่วโลก เพราะ ETF ได้รวมเอาข้อดีของกองทุนรวม และหุ้นไว้ด้วยกัน คือมีการกระจายความเสี่ยงไปในหลักทรัพย์หลายๆตัวตามส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง มีสภาพคล่องซื้อขายได้ทันทีในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกับหุ้น ด้วยเหตุนี้เอง ETF จึงกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงประสิทธิภาพในการทำ Asset Allocation จนในปัจจุบัน ETF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั่วโลกประมาณ 8 แสนล้านเหรียญ ดอลลาร์ สรอ. กองทุน (Style ETF) เช่น เน้นหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นคุณค่า (Value) หรือ หุ้นปันผล (Dividend)

สำหรับในประเทศไทย ETF ตัวแรกที่ลงทุนในตราสารทุนคือ TDEX (ThaiDEX SET50 ETF) บริหารจัดการโดย บลจ.วรรณ TDEX อิงดัชนี SET50 มีการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นชั้นนำ 50 ตัวที่อยู่ในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 TDEX มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,7793.46 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตมากกว่า 280% ในเวลา 10 เดือนนับจากจัดตั้งกองทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างกว้างขวาง

ท้ายนี้มีประชาสัมพันธ์ข้อมูลการลงทุนใหม่สองเรื่อง เรื่องแรก คือ ด้วยการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเร็วๆนี้ตลาดหุ้นไทยจะมี Equity ETF ตัวที่สอง ที่มีชื่อว่า M-Track Energy ETF (ENGY) ซึ่งจะอ้างอิงผลตอบแทนกับดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยมี บลจ.ทหารไทย เป็นผู้บริหารจัดการกองทุน กองทุน ENGY จะทำการเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21 – 28 กรกฏาคม 2551 และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงต้นเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทุกโบรกเกอร์ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กองทุน ENGY สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทหารไทยครับ

เรื่องที่สอง คือ เช้าวันที่ 30 กค. นี้ บลจ. วรรณ จะจัดงานสัมมนาลงทุนอย่างไรให้รวยในภาวะผันผวนที่ห้องประชุมศาสตราจารย์สังเวียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีการบรรยายเกี่ยวกับ การเลือกกองทุน LTF และ RMF ให้เหมาะกับนักลงทุนและการคาดการณ์ภาวะตลาด ตลอดจน workshop การวางแผนการลงทุนให้รวยอัตโนมัติ โดยมีผมและทีมงานเป็นวิทยากร และมีคุณปริทรรศน์ เหลืองอุทัย เป็นวิทยากรรับเชิญพูดในหัวข้อ เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน ด้วยตราสารอนุพันธ์ ท่านที่สนใจ สามารถโทรสำรองที่นั่งได้ฟรีที่บลจ.วรรณ 02 659 8888 นะครับ
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล บลจ.วรรณ
ที่มา manager.co.th






ไม่มีความคิดเห็น: